บทความ ‘คิดเห็นแชร์’ลงในหนังสือพิมพ์มติชนและมติชนออนไลน์
วันที่ 6 เมษายน 2568
โดย คุณอธิป ตันติวรวงศ์
ในยุคที่โลกเผชิญกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ และความต้องการพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลกระทบถึงกรุงเทพฯเมื่อไม่นานมานี้ รวมถึงวิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับในยุโรปเมื่อวันที่ 28 เม.ย. ที่ส่งผลกระทบหลักต่อโปรตุเกส สเปน และบางภูมิภาคของฝรั่งเศส ล้วนตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบพลังงานในภาวะฉุกเฉิน เทคโนโลยีที่สามารถเพิ่มความยืดหยุ่นและความมั่นคงให้กับระบบพลังงานจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น “Vehicle-to-Grid” หรือ V2G คือหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่กำลังได้รับความสนใจทั่วโลก เพราะนอกจากรถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยลดมลพิษและการปล่อยคาร์บอนแล้ว ยังสามารถทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับบ้านเรือน ชุมชน และแม้กระทั่งระบบโครงข่ายไฟฟ้าในยามจำเป็น
V2G คืออะไร?
V2G คือระบบที่เปิดโอกาสให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถชาร์จพลังงานจากโครงข่ายไฟฟ้า และส่งพลังงานกลับเข้าสู่ระบบได้เมื่อต้องการ ผ่านเทคโนโลยีการชาร์จสองทิศทาง (Bi-directional Charging) ซึ่งช่วยให้รถยนต์ EV ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะ แต่กลายเป็นแบตเตอรี่เคลื่อนที่ ที่สามารถรองรับระบบพลังงานในยามฉุกเฉิน เช่น ไฟฟ้าดับหรือช่วงพีคโหลด โดยยังช่วยลดค่าไฟฟ้าเมื่อใช้พลังงานจาก EV แทนพลังงานจากโครงข่ายในช่วงที่ค่าไฟสูงอีกด้วย
บทเรียนจากภัยพิบัติ: V2G กับการเตรียมพร้อมรับมืออนาคต
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2568 ญี่ปุ่นเผชิญกับแผ่นดินไหวขนาด 6.9 แมกนิจูด บริเวณทะเลฮิวงะนาดะ ใกล้กับเกาะคิวชู ส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับในหลายพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานเสียหาย “พลังงาน” กลายเป็นสิ่งมีค่าที่ทุกคนขาดไม่ได้ ประชาชนจำนวนมากต้องอยู่อย่างไร้ไฟฟ้าเป็นเวลาหลายชั่วโมง เหตุการณ์นี้เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อม และการมีแหล่งพลังงานสำรองที่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะเทคโนโลยีอย่าง V2G ที่สามารถช่วยลดผลกระทบจากภัยพิบัติและรักษาความต่อเนื่องของการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงมีพลังงานเพื่อใช้สื่อสารกับโลกภายนอก จากรถ EV ธรรมดาอาจกลายเป็นฮีโร่เงียบในยามวิกฤต
ล่าสุด เหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูดในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งแรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบถึงหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และภาคเหนือ อาคารสูงหลายแห่งรับรู้ถึงแรงสั่นไหวอย่างชัดเจน สร้างความตระหนกให้กับประชาชน และกระตุ้นคำถามสำคัญว่า “เราพร้อมแค่ไหน?” แม้ไทยจะไม่ได้อยู่ในแนวรอยเลื่อนแผ่นดินไหวโดยตรง แต่ผลกระทบทางอ้อมจากประเทศเพื่อนบ้านก็เพียงพอจะส่งผลต่อชีวิตประจำวันของเรา เหตุการณ์นี้จึงเป็นสัญญาณเตือนให้เราเร่งเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นระบบเตือนภัย โครงสร้างพื้นฐาน หรือแหล่งพลังงานสำรองในยามฉุกเฉิน
ญี่ปุ่น: ผู้นำในการประยุกต์ใช้ V2G ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรก ๆ ที่นำ V2G มาใช้จริงจัง โดยเฉพาะหลังแผ่นดินไหวและสึนามิปี 2554 ที่ทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะได้รับความเสียหายอย่างหนัก รัฐบาลญี่ปุ่นเล็งเห็นถึงความจำเป็นในการมีแหล่งพลังงานสำรอง บริษัท Nissan จึงร่วมกับ Tokyo Electric Power Company (TEPCO) เปิดตัวโครงการ “Leaf to Home” ให้รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf จ่ายไฟฟ้ากลับเข้าสู่บ้านหรือศูนย์พักพิงในพื้นที่ประสบภัย ทำให้หลายครอบครัวสามารถใช้ไฟสำหรับการดำรงชีวิตพื้นฐาน เช่น เปิดไฟ ตู้เย็น หรือชาร์จโทรศัพท์มือถือได้ในยามที่โครงข่ายไฟฟ้าหลักใช้งานไม่ได้
ญี่ปุ่นยังพัฒนามาตรฐานการชาร์จ CHAdeMO ซึ่งรองรับการส่งพลังงานสองทิศทางอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถใช้งาน V2G ได้อย่างกว้างขวาง และกำลังเดินหน้าขยายการใช้งานในระดับเมืองและระดับประเทศ
ออสเตรเลีย: ความยืดหยุ่นในพื้นที่เสี่ยงไฟป่า
ออสเตรเลียเป็นอีกประเทศที่หันมาใช้ V2G และ V2H (Vehicle-to-Home) อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่มักเผชิญกับไฟป่าหรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้ระบบไฟฟ้าขัดข้องได้บ่อยครั้ง เจ้าของบ้านจำนวนมากติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ร่วมกับเครื่องชาร์จสองทิศทาง เช่น Quasar จาก Wallbox เพื่อให้สามารถดึงพลังงานจากรถยนต์ EV มาใช้ในบ้านได้ในช่วงที่ไฟฟ้าดับหรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าหยุดทำงาน และการใช้พลังงานจาก EV ร่วมกับแผงโซลาร์เซลล์ ทำให้บ้านสามารถใช้พลังงานหมุนเวียนแบบพึ่งตนเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งรัฐ และลดค่าไฟในระยะยาว ถือเป็นตัวอย่างที่ดีในการใช้เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนและการเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์วิกฤต
ประเทศไทยกับก้าวแรกของ V2G
ประเทศไทยเริ่มก้าวสู่การใช้งาน V2G อย่างเป็นรูปธรรม โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ร่วมกับบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งมีบทบาทช่วยสนับสนุนโครงการทดสอบระบบ V2G โดยใช้รถยนต์ Nissan Leaf ซึ่งรองรับการชาร์จสองทิศทาง และเครื่องชาร์จ Quasar จาก Wallbox มาทดลองดึงพลังงานจากรถกลับมาใช้ภายในบ้าน พร้อมพัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุมระบบการจ่ายไฟ และเตรียมต่อยอดให้เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ในอนาคต
ประเทศไทยเริ่มก้าวสู่การใช้งาน V2G อย่างเป็นรูปธรรม โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับบริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด ซึ่งมีบทบาทในการพัฒนาและขับเคลื่อนโซลูชันพลังงานแห่งอนาคต ได้เริ่มต้นโครงการทดสอบระบบ V2G โดยใช้รถยนต์ไฟฟ้า Nissan Leaf ซึ่งรองรับการชาร์จสองทิศทาง และเครื่องชาร์จ Quasar จาก Wallbox มาทดลองดึงพลังงานจากรถกลับมาใช้ภายในบ้าน พร้อมพัฒนาซอฟต์แวร์ควบคุมระบบการจ่ายไฟ โดยอินโนพาวเวอร์อยู่ระหว่างเตรียมต่อยอดโครงการดังกล่าวให้สามารถเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้าขนาดใหญ่ในอนาคต เพื่อเสริมความมั่นคงให้กับระบบพลังงานของประเทศ
อินโนพาวเวอร์ในฐานะ Decarbonization Partner มุ่งมั่นผลักดันเทคโนโลยีพลังงานสะอาดที่สามารถใช้งานได้จริง พร้อมช่วยให้ทุกภาคส่วนเข้าถึงพลังงานอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนการใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า หรือการเสริมสร้างระบบไฟฟ้าที่มีความยืดหยุ่นและพึ่งพาตนเองได้ในระดับครัวเรือน หากการทดสอบประสบผลสำเร็จ ระบบ V2G ในประเทศไทยจะสามารถขยายเพื่อรองรับการใช้งานในระดับหมู่บ้าน ชุมชน หรือแม้กระทั่งระดับเมือง โดยเปลี่ยนรถยนต์ไฟฟ้าหลายหมื่นคันให้กลายเป็นแบตเตอรี่สำรองเสริมความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าประเทศไทย
อนาคตของ V2G: ระบบพลังงานที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน
ไทยอาจยังไม่มีไฟป่าหรือแผ่นดินไหวระดับโลก แต่ถามตัวเองว่า… ถ้าพรุ่งนี้ระบบไฟฟ้าล่มแค่ 1 วัน เราพร้อมหรือยัง? V2G อาจจะยังไม่ใช่เทคโนโลยีที่รู้จักกันดีในวันนี้ แต่ในอนาคตอันใกล้พลังงานที่ยืดหยุ่นจะช่วยให้ประเทศไทยสร้างระบบพลังงานที่เสถียรยิ่งขึ้น โรงไฟฟ้าไม่จำเป็นต้องผลิตพลังงานเพิ่มแบบฉับพลันในช่วงพีคโหลด ขณะที่ผู้ใช้ไฟฟ้าก็สามารถมีทางเลือกในการจัดการพลังงานได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดค่าไฟฟ้า การใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับ EV หรือการพึ่งพาตนเองในยามวิกฤต และหากมีการวางระบบรองรับอย่างเหมาะสม V2G จะไม่เพียงแค่เป็นเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการเสริมความมั่นคงด้านพลังงานระดับชาติ ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของระบบพลังงานไทยให้พร้อมรับมืออนาคตอย่างแท้จริง
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_5169503